วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

อุปกรณ์เครือข่าย มีอะไรบ้าง

1. การ์ดแลน





      การ์ดแลนเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับรับส่งข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง หรือไปยังอุปกรณ์อื่นๆ ในระบบเครือข่าย   

 ดังนั้นคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องก็จะต้องมีการ์ดแลนเป็นส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่ง และโดยเฉพาะการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ADSL ตามบ้าน มักจะใช้การ์ดแลนเป็นตัวเชื่อมต่ออีกด้วย การใช้การ์ดแลน จะใช้ควบคู่กับสายแลนประเภท UTP หรือสายที่หลายๆ คนอาจเคยได้ยินคือสาย CAT5, CAT5e, CAT6 



การเลือกซื้อการ์ดแลน

  สำหรับเครื่องคอมฯ ตั้งโต๊ะ (Desktop Computer)


  • สามารถเลือกซื้อการ์ดแลนเป็นแบบติดตั้งภายใน หรือจะซื้อแบบเชื่อมต่อภายนอกแบบ USB ก็ได้ แต่ราคาจะสูงกว่าแบบติดตั้งภายในมาก



  สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (Notebook Computer)


  • โดยปกติ Notebook ทุกรุ่นในปัจจุบัน จะมีพอร์ตในการเชื่อมต่อแบบสาย (Wire) และแบบไร้สาย (Wireless) มาให้ด้วยเสมอ แต่ถ้ามีปัญหา สามารถซื้อมาเพิ่มเติมได้ในแบบที่เป็น USB หรือจะซื้อแบบ PCMCIA ได้ (ถ้า Notebook ของเรามี port ชนิดนี้อยู่)

พอร์ตการเชื่อมต่อการ์ดแลน

     ถ้าเป็นรุ่นที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อภายใน (สำหรับ Desktop Computer) เวลาเลือกซื้อต้องสอบถามให้ดีว่า เป็นุร่นที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อแบบไหน เช่น ISA (รุ่นนี้โบราณแล้ว อย่าซื้อ! ถ้าไม่จำเป็น), PCI รุ่นใหม่ เป็นต้น ส่วนราคาในปัจจุบันถูกลงมากๆ ครับ แค่หลักร้อยบาทเท่านั้น แต่อีกจุดหนึ่งที่ควรทราบคือ ความเร็ว ซึ่งแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อ อาจมีความเร็วที่ต่างกันเช่น 10/100/1000 MBPS เรียกว่าถ้ามีตัวเลข 1000 ก็สามารถเลือกซื้อได้เลย

ที่มา: http://www.it-guides.com/






2. RJ-45


คือ หัวต่อที่ใช้กับสายสัญญาณเชื่อมเครือข่ายแบบสายคู่ตีเกลียว (สายคือ หัวต่อที่ใช้กับสายสัญญาณเชื่อมเครือข่ายแบบสายคู่ตีเกลียว (สาย UTP) 

ตัวผู้ มี 2 ชนิด ได้แก่ 1.หัวต่อตัวผู้ RJ-45 (หรือที่เรียกว่ RJ-45 Connecter หรือ RJ-45 Jack Plug) เป็นอุปกรณ์สำหรับใส่ที่ปลายสาย UTP มีลักษณะเป็นพลาสติกสี่เหลี่ยมคล้ายหัวต่อโทรศัพท์ มีช่องสำหรับเสียบสายที่ด้านหลัง ด้านล่างเรียบ ส่วนด้านบนมีตัวล๊อค ถ้าหันหน้าเข้าด้านหน้าของหัวต่อพิน 1 จะอยู่ทางด้านซ้ายมือของเรานะคะ ในขณะที่พิน 8 จะอยู่ทางขวามือ

2.หัวต่อตัวเมีย RJ-45 (หรือเรียกว่า RJ-45 Jack Face) มีลักษณะเป็นเบ้าเสียบสำหรับหัวต่อ RJ-45 ตัวผู้ เมื่อมองจากด้านที่จะนำหัวต่อตัวผู้เสียบ พิน 8 จะอยู่ทางซ้าย ส่วนพิน 1 จะอยู่ทางขวา หัวต่อตัวเมียจะมีลักษณะเป็นกล่องมีช่องสำหรับเสียบหัวต่อ ด้านในกล่องจะมีขั้วซึ่งจะเป็นส่วนที่เชื่อมกับสายนำสัญญาณhubH U B หรือ Repeater อุปกรณ์ทีใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการกระจายสัญญาณ หรือข้อมูล จะต้องใช้ไฟหล่อเลี้ยงในการทำงาน โดยปกติการเลือก Hub จะดูที่จำนวน Port ที่ต้องการ เช่น 8 ports, 12 ports, 24 ports รวมทั้ง 48 ports เป็นต้น จำนวน port หมายถึง จำนวนในการเชื่อมคอมพิวเตอร์แต่ละตัวเข้าด้วยกัน ดังนั้น Hub 24 ports หมายถึง สามารถเชื่อมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่าย เข้าด้วยกัน จำนวน 24 เครื่อง



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หัว RJ45 มีหน้าที่อะไร



3. สาย UTP



             

สาย UTP เป็นสายสัญญาณที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันย่อมาจากคำว่า Unshielded Twisted Pair เป็นสายขนาดเล็กที่ไม่มีชีลด์ห่อหุ้ม มีเส้นตีเกลียวเป็นคู่ ๆ เพื่อลดสัญญาณรบกวนในการเชื่อมต่อจะใช้หัวต่อแบบ RJ-45เป็นสองหัวต่อสาย เส้นสามารถต่อสายได้ยาวสูงสุดประมาณ 100 เมตร อุปกรณ์ในการเชื่อมต่อคือสาย UTP,คีมยั้มหัว RJ-45,และชุดทดสอบสาย (Network Cable Tester)ชนิดของสาย UTP ที่มีใช้งานปัจจุบันมีดังนี้

ชนิดของสาย UTP ประกอบด้วย
          >Category 3 (CAT 3) วิ่งที่ความเร็ว 10 Mbps< 10 BASET Ethernet
          >Category 5 (CAT 5) วิ่งที่ความเร็ว 100 Mbps < Fast Ethernet
          >Category e (CAT 5e) วิ่งที่ความเร็ว 1000 Mbps (1 Gbps) < Gigabit Ethernet
          >Category 6 (CAT 3) วิ่งที่ความเร็ว 1000 Mbps (1 Gbps) < Gigabit Ethernet

ตารางเปรียบเทียบหมวดหมู่สายสัญญาณแบบ UTP


การเรียงสายแบบมาตรฐานของสาย UTP  จะมีอยู่ แบบ คือ
             -  แบบ T568A แบบไขว้ (Com To Com) ใช้ต่อเครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่องเข้าด้วยกันหรือต่อจาก Hub ตัวหนึ่งไปอีกตัวหนึ่ง การต่อสายมีการสลับสายคู่ที่ 1-3,2-6
             - แบบT568B แบบธรรมดา (Com To Hub)ใช้ต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังHub/Switch การต่อสายทั้งสองด้านจะเหมือนกันดังจะแสดงในตารางประกอบ


ภาพแสดงตารางการเรียงสายแบบมาตรฐานของสาย UTP




ภาพกราฟิกแสดงการเรียงสายแบบมาตรฐานของสาย UTP




ภาพกราฟิกแสดงการเรียงสายแบบมาตราฐานของสาย UTP


ภาพแสดงการเรียงสายแบบมาตรฐานของสาย UTPของจริง



ภาพแสดงคีมยั้มหัวหรือคีมเข้าหัวสาย UTP แบบ RJ-45.



ภาพแสดงหัวRJ-45และNetwork Cable Tester


4. สาย STP







สายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair)
              สายสัญญาณ STP มีการนำสายคู่พันเกลียวมารวมอยู่และมีการเพิ่มฉนวนป้องกันสัญญาณรบกวน ซึ่งร่างแหนี้จะมีคุณสมบัติเป็นเกราะในการป้องกันสัญญาณรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่างๆ เรียกเกราะนี้ว่า ชิลด์ (Shield) และเป็นสายสัญญาณที่ได้รับการพัฒนาต่อจากสาย UTP โดยเพิ่มการชีลด์กันสัญญาณรบกวนเพื่อทำให้คุณสมบัติโดยรวมของสัญญาณดีมากขึ้น คุณลักษณะของสาย STP ก็เหมือนกับสาย UTP คือมีเรื่องเกี่ยวกับอัตราการบั่นทอนครอสทอร์ก




รูปแสดงสายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม (STP : Shielded Twisted Pair)


ข้อดีของสาย STP
         - ส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงกว่า UTP
         - ป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นวิทยุ

ข้อเสียของสาย STP
         - มีขนาดใหญ่และไม่ค่อยยืดหยุ่นในการงอพับสายมากนัก
         - ราคาแพงกว่าสาย UTP





5. สายโคแอ็กซ์

       สายโคแอ็กเชียล (Coaxial Cable) เป็นสายสัญญาณประเภทแรกที่ใช้ และเป็นที่นิยมมากในเครือข่ายคอมพิวเตอร์สมัย แรก ๆ แต่ในปัจจุบันสายโคแอ็กซ์ถือได้ว่าเป็นสายที่ล้าสมัยสำหรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามยังมีระบบเครือข่ายบางประเภทที่ยังใช้สายประเภทนี้อยู่

      สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) ส่วนใหญ่จะเรียกสั้น ๆ ว่าสายโคแอ็กซ์ (Coax) จะมีตัวนำไฟฟ้าอยู่ 2 ส่วน คำว่า โคแอ็กซ์ มีความหมายว่า "มีแกนร่วมกัน" ซึ่งชื่อก็บอกความหมายว่าต้นนำทั้งสองตัวมีแกนร่วมกันนั่นเอง 



โครงสร้างของสายโคเอกซ์

     1 คือ สายทองแดงเป็นแกนกลาง จะเป็นส่วนทที่นำสัญญาณข้อมูล
     2 คือ ฟรอยด์หุ้มสัญญาณรบกวน
     3 คือ สายนำสัญญาณกราวด์ มีลักษณะเป็นใยโลหะถักเปียหุ้ม
     4 คือ ฉนวน จะเป็นวัสดุที่ป้องกันสายสัญญาณ
         ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่โคแอ็กซ์จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็แบ่งออกได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับชนิดของเครือข่ายที่ใช้ สายโคแอ็กซ์จะถูกแยกเป็นประเภทต่าง ๆ โดยใช้มาตรา RG (Radio Grade Scale) สายโคแอ็กซ์ที่นิยมกันใช้มากที่สุดมีค่าความต้านทานที่ 75 โอห์ม อย่างเช่น RG6/U ส่วนใหญ่จะใช้เป็นสายสัญญาณโทรทัศน์ซึ่งจะมีทั้งสีดำและสีขาวนอกจากนี้ก็ใช้ในการติดตั้งระบบเคเบิ้ลทีวี ส่วนสายอีกชนิดหนึ่งจะเป็นสายโคแอ็กซ์แบบ RG-58/U จะใช้ได้กับ ซึ่งมีค่าความต้านทานที่ 50 โอห์ม ซึ่งส่วนใหญ่ที่นิยมใช้กันมากจะอยู่ในวงการวิทยุสื่อสาร

สายโคแอ็กซ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ


      1. สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable)
      2. สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thick Coaxial Cable)

หัวเชื่อมต่อที่ใช้กับสายโคแอ็กซ์


       ทั้งสายแบบ Thinnet และ Thicknet จะใช้หัวเชื่อมต่อชนิดเดียวกัน ที่เรียกว่าหัว BNC ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างสายสัญญาณละเน็ตเวิร์คการ์ด หัวเชื่อมต่อแบบ BNC นี้มีหลายแบบดังต่อไปนี้

       1. หัวเชื่อมสาย BNC (BNC Cable Connector) เป็นหัวที่เชื่อมเข้ากับปลายสาย ดังแสดงในรูปที่ 1
       2. หัวเชื่อมสายรูปตัว T (BNC T-Connector) เป็นหัวที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างสายสัญญาณกับเน็ตเวิร์คการ์ด
       3. หัวเชื่อมสายแบบ Barrel (BNC Barrel Connector) เป็นหัวที่ใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณเพื่อให้สายมีขนาดยาวขึ้น
       4. ตัวสิ้นสุดสัญญาณ (BNC Terminator) เป็นหัวที่ใช้ในการสิ้นสุดสัญญาณที่ปลายสายเพื่อเป็นการสิ้นสุดสัญญาณไม่ให้สะท้อนกลับ ถ้าไม่อย่างนั้นสัญญาณจะสะท้อนกลับทำให้รบกวนสัญญาณที่ใช้นำข้อมูลจริง ซึ่งจะทำให้เครือข่ายล้มเหลวในที่สุด



ที่มา: http://techno.oas.psu.ac.th/content/51





6. Terminator


สำหรับเครือข่ายแบบบัส สายเคเบิลตรงจุดปลายทั้งสองฝั่งจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า เทอร์มิเนเตอร์     (Terminator) ปิดไว้ที่ปลายสาย ซึ่งอุปกรณ์เทอร์มิเนเตอร์นี้จะเป็นอุปกรณ์ช่วยดูดซับสัญญาณ
เพื่อไม่ให้เกิดการสะท้อนกลับของสัญญาณ กรณีที่สัญญาณวิ่งมาถึงจุดปลายของสายเคเบิล

 

 เทอร์มิเนเตอร์



          ข้อดีและข้อเสียของโทโปโลยีแบบบัส 
                  

                      ข้อดี 
                              1. มีรูปแบบโครงสร้างไม่ซับซ้อน ติดตั้งง่าย
                              2. การเพิ่มโหนด สามารถเพิ่มต่อเข้ากับสายแกนหลักได้ทันที
                              3. ประหยัดสายส่งสัญญาณ เนื่องจากทุกโหนดสามารถเชื่อมต่อเข้ากับสายแกนหลักได้ทันที


                    ข้อเสีย 
                              1. หากสายแกนหลักเกิดขาด เครือข่ายทั้งระบบจะหยุดการทำงาน
                              2. กรณีเครือข่ายหยุดการทำงาน ตรวจสอบจุดเสียงค่อนข้างยาก
                              3. แต่ละโหนดที่เชื่อมต่อบนเครือข่าย จะต้องอยู่ห่างกันตามข้อกำหนด


7. T-connector

   T- Connector เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่าง Network Card กับ สาย Cable ซึ่ง
 อุปกรณ์ T-Connector นั้นจะมีอยู่ 3 ขา ขาที่ 1 นั้นเป็นขาที่เชื่อมต่อกับ Network Card ของเครื่อคอมพิวเตอร์ ส่วนอีก 2 ขานั้นจะเชื่อมต่อกับสาย Cable หรือ อุปกรณ์ Ground Terminator ในกรณีที่ไม่มีสาย Cable มาเชื่อมต่อแล้ว 











ที่มา: http://www.tanti.ac.th/Com-tranning/NetWork/net2/net-tool.html



8. Fiber Optic

Fiber Optic คืออะไร

Fiber Optic คือ สายสัญญาณของระบบเครือข่ายอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความสามารถในการรับ-ส่งสัญญาณได้ไกลๆ เป็นกิโลเมตร และมีการสูญเสียของสัญญาณน้อยมาก เมื่อเทียบกับสายแลนทั่วๆ ไป (CAT5, CAT5e, CAT6, CAT7 เป็นต้น) Fiber Optic เรียกเป็นภาษาไทยว่า "เส้นใยแก้วนำแสง"

Fiber Optic cable

คุณสมบัติของ Fiber Optic


  • Fiber Optic ภายในทำจากแก้วที่มีความบริสุทธิ์สูงมาก
  • มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดเท่าเส้นผมของคนเรา
  • รับส่งสัญญาณได้ระยะไกลมากเป็นกิโลเมตร
  • ต้องใช้ผู้ชำนาญ และเครื่องมือเฉพาะในการเข้าหัวสัญญาณ
  • ราคาแพงหลายเท่า เมื่อเทียบกับสายแลนประเภท CAT5

Fiber Optic แบ่งออกได้ 2 ประเภท


  • เส้นใยแก้วนำแสงชนิดโหมดเดี่ยว (Singlemode Optical Fibers, SM)
  • เส้นใยแก้วนำแสงชนิดหลายโหมด (Multimode Optical Fibers, MM)

การนำไปใช้งานของ Fiber Optic

  • ตึกสูงๆ ที่ต้องการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย ทำเป็น Backbone (สายรับส่งสัญญาณข้อมูลหลัก)
  • ระบบการรับส่งสัญญาณภาพ วีดีโอ ตามพื้นที่ต่างๆ
  • การเชื่อมต่อสัญญาณระยะไกล
  • และอื่นๆ อีกมากมาย


9. เครื่องทดสอบสายสัญญาณ








  • Fiber OneShot™ Optical Test Set Fiber OneShot™ Optical Test Set


    เครื่องทดสอบสายไฟเบอร์แบบ Single Mode

    สำหรับงาน Fiber to Home และ CATV
    1. ตรวจสอบว่าสายไฟเบอร์แอคทีฟอยู่หรือไม่
    2. หาความยาวของสายไฟเบอร์ไปยังจุดที่มีปัญหา
    3. หาความยาวตลอดสายไฟเบอร์ไปถึงปลายสาย


    Fiber OneShot™ Optical Test Set ชุดเครื่องมือขนาดมือถือ ตัวใหม่ล่าสุดจาก FlukeNetworks ที่ช่วยให้งานตรวจสอบสายไฟเบอร์แบบ Single Mode ที่ยุ่งยากซับซ้อน กลายเป็นงานง่ายๆ ใครๆก็ทำได้ ด้วยการออกแบบให้สามารถทำการทดสอบได้ในปุ่มกดเดียว ให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องแม่นยำ
    Fiber OneShot™ เป็นเครื่องทดสอบสายสัญาณไฟเบอร์ออปติก ที่ออกแบบมาสำหรับการตรวจค้นแก้ไขปัญหาหลัก 3 อย่าง ในงานไฟเบอร์ได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่



    Fiber OneShot™  Fiber OneShot™



    Fiber OneShot™ มีขนาดกระทัดรัด ทนทาน ใช้งานง่าย สำหรับการทดสอบสัญญาณไฟเบอร์แบบ Single Mode โดยเฉพาะ ตรวจสอบภาวะแอคทีฟของสาย, สายหัก, หน้าสัมผัสแสงสกปรก, หาความยาวสายไปยังจุดที่มีปัญหาได้ไกล 9,999 ฟุต โดยไม่มี dead zone

    ที่มา: http://www.measuretronix.com/products/fiber-oneshot%E2%84%A2-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A-single-mode



    10. HUB

    ฮับ (HUB) ในระบบเครือข่าย

    ฮับเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงสัญญาณของอุปกรณ์เครือข่ายเข้าด้วยกัน การจะทำให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องคอมพิวเตอร์รู้จักกัน หรือส่งข้อมูลถึงกันได้จะต้องผ่านอุปกรณ์ตัวนี้ ปัจจุบันฮับถูกเปรียบเทียบกับ Switch ซึ่งมีความสามารถสูงกว่า และถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์มาตราฐานที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงสัญญาณในระบบเครือข่าย? เรียกว่าฮับตกกระป๋องไปแล้วครับ แต่ยังไง ก็เรียนรู้ไว้สักนิดก็ไม่ผิดกฏกติกาแต่อย่างไร เดี๋ยวจะหาว่าไม่รู้จริง

    หน้าตาของฮับ

    Hub Network Equipment
    โดยทั่วไปจะมีลักษณเหมือนกล่องสีเหลี่ยมแต่แบน มีความสูงประมาณ 1-3 นิ้ว แล้วแต่รุ่น มีช่องเล็กๆ เอาไว้เสียบสายแลนแต่ละเส้นที่ลากโยงมาจากคอมพิวเตอร์?มีหลายรุ่น เช่น Hub 4 Ports, 8 Ports, 16 Ports, 24 Ports หรือ 48 Ports เป็นต้น?หน้าตารูปร่างของฮับจะเหมือนกัน Switch ดังนั้นการเลือกซือต้องระวังให้ดี

    ฮับ ทำงานอย่างไร

    เมื่อใดที่มีคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายต้องการส่งข้อมูล ฮับทำจะหน้าที่ในการทำสำเนาข้อมูลและส่งไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครือข่าย ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ แต่รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ด้วยเช่น เครื่องพิมพ์ เป็นต้น เรียกว่าส่งข้อมูลไปทั้งหมด และถ้าข้อมูลนี้เป็นของอุปกรณ์ใด อุปกรณ์นั้นก็จะรับเองอัตโนมัติ? และจุดด้อยของฮับที่ควรทราบคือ เวลามีอุปกรณ์ใดส่งข้อมูลในเครือข่ายผ่านฮับ อุปกรณ์อื่นๆ จะต้องรอให้การส่งสมบูรณ์ก่อน เปรียบเทียบได้กับถนน One-Way ห้ามส่งข้อมูลสวนทางกัน

    ความเร็วในการรับส่งข้อมูลของฮับ

    • ความเร็วต่ำสุดคือ 10 MBPS
    • ความเร็วสูงสุดคือ 100 MBPS
    • บางรุ่นรองรับทั้ง 10 และ 100 เรียกว่า 10/100 MBPS
    MBPS ย่อมาจาก MegaBit Per Second (เมกกะบิตต่อวินาที)

    ระยะทางจากฮับสู่คอมพิวเตอร์

    โดยปกติเราสามารถต่อสายแลนจากคอมพิวเตอร์เข้าสู่ฮับได้ ในระยะทางไม่เกิน 100 เมตร (มาตราฐานนี้ใช้กับสายแลนประเภท Cat5, Cat5e)
    ที่มา: http://www.it-guides.com/training-a-tutorial/network-system/what-is-hub


    11. switch

    สวิตช์ ( switch)

     
                เป็นอุปกรณ์เครือข่ายเช่นเดียวกันกับฮับ ( hub) และมีหน้าที่คล้ายกับฮับมาก แต่มีความแตกต่างที่ ในแต่ละพอร์ต (port) จะมีความสามารถในการส่งข้อมูลได้สูงกว่า เช่น สวิตช์ที่มีความเร็ว 10 Mbps นั้น จะหมายความว่า ในแต่ละพอร์ตจะสามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็ว 10 Mbps และนอกจากนั้นเครื่องทุกเครื่องที่ต่อมายังสวิตช์ยังไม่ได้อยู่ใน Collision Domain เดียวกันด้วย (ซึ่งถ้าฮับจะอยู่) นั่นหมายความว่าแต่ละเครื่องจะได้ครอบครองสายสัญญาณแต่เพียงผู้เดียว จะไม่เกิดปัญหาการแย่งสายสัญญาณ และการชนกันของสัญญาณเกิดขึ้น

    สวิตช์จะมีความสามารถมากกว่าฮับ แต่ยังมีการใช้งานอยู่ในวงจำกัดเพราะราคายังค่อนข้างสูงกว่าฮับอยู่มาก ดังนั้นจึงมีการนำสวิตช์มาใช้ในระบบเครือข่ายที่ต้องการแบ่ง domain เพื่อเพิ่มความเร็วในการติดต่อกับระบบ โดยอาจนำสวิตช์มาเป็นศูนย์กลาง และใช้ต่อเข้ากับเครื่องที่มีการเชื่อมต่อกับเครื่องอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เพื่อจะได้ส่งข้อมูลได้ทีละมาก ๆ และส่งด้วยความเร็วสูง







    การที่สวิตช์สามารถทำงานได้เร็วกว่าฮับนั้น นอกจากสวิตช์จะสามารถส่งข้อมูลออกได้มากกว่าแล้ว ในสวิตช์ยังมี route table ซึ่งเป็นหน่วยความจำของสวิตช์ ที่สามารถจำได้ว่าพอร์ตใดมี IP address หรือ MAC address ใดทำการเชื่อมต่ออยู่บ้าง ซึ่งทำให้การส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และยังไม่เป็นการส่งข้อมูลในลักษณะกระจายไปทุกเครื่องของเครือข่ายที่เรียกว่า broadcast ซึ่งเป็นการสิ้นเปลือง bandwidth โดยไม่จำเป็น

    Collision Domain
    คำว่า collision มีความหมายว่า การชนกัน ซึ่งในทางคอมพิวเตอร์จะหมายความถึง การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายมากกว่า 1 เครื่องพยายามที่จะทำการส่งข้อมูลในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดการชนกันของข้อมูลที่ทำการส่ง ซึ่งคำว่า collision domain นั้นจะมีความหมายว่าเครื่องที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน และมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิด collision ขึ้นได้ collision จะมีโอกาสเกิดได้น้อยหากว่าจำนวนเครื่องที่อยู่ใน collision domain เดียวกันมีจำนวนน้อย ซึ่งสวิตช์จะทำให้เครือข่ายที่เชื่อมต่อเข้ากันแยกออกเป็นโดเมนย่อย ๆ ดังรูป





    ที่มา:http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/computer/network/net_wan7.html



    12.Repeater

    รีพีตเตอร์

    รี  รีพีตเตอร์ (repeater) เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับฟิสิคัลเลเยอร์ ( Physical Layer) ใน OSI Model มีหน้าที่เชื่อมต่อสำหรับขยายสัญญาณให้กับเครือข่าย เพื่อเพิ่มระยะทางในการรับส่งข้อมูลให้กับเครือข่ายให้ไกลออกไปได้กว่าปกติ ข้อจำกัด คือทำหน้าที่ในการส่งต่อสัญญาณที่ได้มาเท่านั้น จะไม่มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายซึ่งอาศัยวิธีการ access ที่แตกต่างกัน เช่น Ethernet กับ Token Ring และไม่รู้จักลักษณะของข้อมูลที่แฝงมากับสัญญาณเลย
        รีพีตเตอร์ (repeater) เป็นอุปกรณ์ทวนสัญญาณ ( Repeater) เพื่อให้สัญญาณไฟฟ้าที่รับส่งกันในสาย Lan สามารถส่งไกลขึ้นเท่านั้น ใช้ในกรณีที่ต้องการต่อสาย Lan ให้ได้ไกลเกินกว่ามาตรฐานปกติ แต่ไม่ทำหน้าที่ช่วยจัดการจราจร Lan สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายโดยใช้สายสัญญาณต่างชนิดกันได้

        
                                                                          




    13. Bridge

    บริดจ์ (Bridge) คือ อะไร



     บริดจ์ เป็นอุปกรณ์เชื่อมโยงเครือข่ายของเครือข่ายที่แยกจากกัน แต่เดิมบริดจ์ได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับเครือข่ายประเภทเดียวกัน เช่น ใช้เชื่อมโยงระหว่างอีเทอร์เน็ตกับ อีเทอร์เน็ต (Ethernet) บริดจ์มีใช้มานานแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ.1980บริดจ์จึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างสองเครือข่ายการติดต่อภายในเครือข่ายเดียวกันมีลักษณะการส่ง ข้อมูลแบบกระจาย(Broadcasting)ดังนั้นจึงกระจายได้เฉพาะเครือข่ายเดียวกันเท่านั้นการรับส่งภายในเครือข่ายมีข้อกำหนดให้แพ็กเก็ตที่ส่งกระจายไปยังตัวรับได้ทุกตัว แต่ถ้ามีการส่งมาที่แอดเดรสต่างเครือข่ายบริดจ์จะนำข้อมูลเฉพาะแพ็กเก็ตนั้นส่งให้บริดจ์จึงเป็นเสมือนตัวแบ่งแยกข้อมูลระหว่างเครือข่ายให้มีการสื่อสารภายในเครือข่าย ของตน ไม่ปะปนไปยังอีกเครือข่ายหนึ่ง เพื่อลดปัญหาปริมาณข้อมูลกระจายในสายสื่อสารมากเกินไป ในระยะหลังมีผู้พัฒนาบริดจ์ให้เชื่อมโยงเครือข่ายต่างชนิดกันได้ เช่น อีเทอร์เน็ตกับโทเก็นริง เป็นต้น หากมีการเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่าสองเครือข่ายเข้าด้วยกัน และเครือข่ายที่เชื่อมมีลักษณะหลากหลาย ซึ่งเป็นทั้งเครือข่ายแบบ LAN และ WAN อุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเชื่อมโยงคือ เราเตอร์ (Router)
    บริดจ์ เป็นอุปกรณ์ที่มักจะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลน (LAN Segments)เข้าด้วยกันทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LANออกไปได้เรื่อยๆโดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบไม่ลดลงมากนักเนื่องจากการติดต่อของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกันจะไม่ถูกส่งผ่านไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Data Link Layerจึงทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันในระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Eternet กับ Token Ring เป็นต้น






    ทีมา:http://chatreehardware.blogspot.com/p/bridge-connection.html




    14. Router

    Router คืออะไร     Router คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระบบ
    เครือข่ายอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าแปลความหมายคำว่า Route ก็คือ 
    ถนน นั่นเอง ดังนั้น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วย Router 
    ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ได้มากกว่าหนึ่งเครื่อง
    ในเวลาเดียวกัน ซึ่ง Router นั้นจะมีซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการควบคุมการ
    ทำงานเรียกว่า Internetwork Operating System (IOS) และตัว Router
     จะมีช่องที่ใช้เสียบต่อสายสัญญาณเรียกว่า Port LAN ซึ่งโดยทั่วไป
    มักมี 4 Ports หรือมากกว่า ใน Router 1 ตัว 

    Router คืออะไร เราเตอร์ คือ อุปกรณ์เชื่อมต่อเครืออย่างหนึ่ง
        


         หน้าที่หลักของ Router คือการหาเส้นทางในการส่งผ่านข้อมูลที่ดีที่สุด และเป็นตัวกลางในการ

    ส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น ทั้งนี้ Router สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายที่ใช้สื่อสัญญาณหลายแบบแตกต่าง
    กันได้ไม่ว่าจะเป็น Ethernet, Token Rink หรือ FDDI ทั้งๆที่ในแต่ละระบบจะมี packet เป็นรูปแบบของ
    ตนเองซึ่งแตกต่างกัน โดยโปรโตคอลที่ทำงานในระดับบนหรือ Layer 3 ขึ้นไปเช่น IP, IPX หรือ AppleTalk
     เมื่อมีการส่งข้อมูลก็จะบรรจุข้อมูลนั้นเป็น packet ในรูปแบบของ Layer 2 คือ Data Link Layer 
    เมื่อ Router ได้รับข้อมูลมาก็จะตรวจดูใน packet เพื่อจะทราบว่าใช้โปรโตคอลแบบใด 
    จากนั้นก็จะตรวจดูเส้นทางส่งข้อมูลจากตาราง Routing Table ว่าจะต้องส่งข้อมูลนี้ไปยังเครือข่ายใด
    จึงจะต่อไปถึงปลายทางได้ แล้วจึงบรรจุข้อมูลลงเป็น Packet ของ Data Link Layer ที่ถูกต้องอีกครั้ง 
    เพื่อส่งต่อไปยังเครือข่ายปลายทาง

    Router คืออะไร เราเตอร์ คือ อุปกรณ์เชื่อมต่อเครืออย่างหนึ่ง

    คุณสมบัติของ Router  
    1.ทำหน้าที่คล้าย Swich ทำให้เชื่อมต่อได้หลายเครื่องพร้อมกัน
    2.บางรุ่นรองรับการทำงาน Wire หรือ Wireless 
    3.เป็น ADSL Modem ในตัว (เฉพาะบางรุ่นเท่านั้น)
    4.Firewall /IPsec VPN (รองรับการเชื่อมต่อทางไกลแบบมี security)
    5.Antivirus (รุ่นใหม่ๆ ของ Router บางรุ่น จะมี antivirus program ฝังอยู่ด้วย)


    ที่มา: http://www.mindphp.com/





    15. Modem


    โมเด็มเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณคอมพิวเตอร์ที่เป็นรูปแบบดิจิทัล ให้อยู่ในรูปแบบอนาล็อก ( analog)

     หรือคลื่น ที่สามารถส่งไปได้ตามสายโทรศัพท์ และทำการส่งไปยังเครื่องปลายทาง ก่อนที่เครื่องปลายทางซึ่ง
    มีโมเด็มอยู่เช่นกัน จะทำการแปลงสัญญาณจากรูปแบบอนาล็อกที่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถเข้าใจได้ให้อยู่ใน
    รูปแบบดิจิทัล

    รูปคลื่นแบบอนาล็อก






    ในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น เครื่องคอมพิวเตอร์จะเข้าใจเฉพาะเลข 0 และ 1 เท่านั้น ซึ่งจากภาพ
     ไม่ว่าจะเป็นในระบบดิจิทัลหรืออนาล็อกก็ตาม สัญญาณที่ถูกส่งออกไปนั้น จะถูกแปลงค่าและส่งไปยัง
    เครื่องปลายทาง ซึ่งเครื่องปลายทางจะทำการแปลงข้อมูลสัญญาณที่ได้รับให้อยู่ในรูปของตัวเลข 0 และ 1
     เพื่อทำงานต่อไป

    ในการแปลงรูปแบบของข้อมูลนั้น มีวิธีต่าง ๆ มากมายที่ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ในการแสดงค่าที่แตกต่าง 
    เมื่อมีการส่งข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความถี่ที่ต่างกัน ( frequency) หรือว่าการวัดที่ความเปลี่ยนแปลงของคลื่น
    ที่ขึ้นลง (amplitude) เป็นต้น




    รูปคลื่นดิจิทัล














    ในการส่งสัญญาณ ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณในรูปแบบอนาล็อก หรือดิจิทัล มีความจำเป็นที่จะต้องใช้สื่อกลาง
    ในการส่งข้อมูล และเป็นที่ทราบกันว่าสื่อทุกชนิดนั้นมีความต้านทานอยู่ในตัวเอง ทำให้สัญญาณที่ถูกส่งออกไปนั้น
    อ่อนแรง ( weak) และทำให้เกิดรูปร่างที่ผิดเพี้ยน ทำให้เกิดความผิดพลาดในการส่งข้อมูลนั่นเอง
     และเนื่องจากสาเหตุนี้จึงได้เกิดการผลิตรีพีตเตอร์ (repeater) เพื่อทำการขยายสัญญาณให้คงที่อยู่เสมอ
     ในอยู่ระหว่างทำการส่งข้อมูล เพื่อป้องกันการเสียรูปของสัญญาณอันจะทำให้เกิดความผิดพลาดของข้อมูล

    ที่มา: http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/computer/network/net_wan3.htm




    16. Wireless Access point

    Access Point (AP) คืออุปกรณ์ที่มีหน้าที่ในการกระจายสัญญาณไวร์เลส 
    เป็นอุปกรณ์พื้นฐานตัวหนึ่งที่สามารถสร้างเครือข่ายไร้สายจากระบบเครือข่ายแลน(Lan)ได้ง่ายที่สุด
     แอคเซสพอยท์ทำหน้าที่กระจายสัญญาณออกไปยังเครื่องลูกข่ายที่อยู่ในรัศมีการกระจายสัญญาณ
    โดยรอบ ซึ่งลักษณะของตัวแอคเซสพอยท์นั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างกันอยู่กับผู้ผลิตจะดีไซน์ให้มีรูปร่าง
    หน้าตาแบบไหน แต่ที่เหมือนกันก็คือ AP จะมีช่องเชียบสายแลนเพียงช่องเดียวเท่านั้น
     ช่องดังกล่าวจะเป็นช่องที่รับสัญญาณอินเตอร์เน็ตหรือใช้เชื่อมต่อกับเน็ตเวิร์คจากเครือข่ายแลน
    เข้ากับเครื่องลูกข่ายที่เชื่อมต่อแบบไร้สาย การทำงานของ AP จะทำงานภายใต้มาตรฐานของ 
    IEEE802.11 ซึ่งทำให้อุปกรณ์ที่มีมาตรฐานนี้สามารถใช้งาน AP ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ



              ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ wireless access point






    17. ADSL Modem


    (Asymmetric Digital Subscriber Line)เป็นมาตรฐานของโมเด็มเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนโฉมหน้า
    ของสายโทรศัพท์ที่ทำจากลดทองแดง ให้เป็นสัญญาณนำส่งข้อมูลความเร็วสูงโดย ADSL 
    สามารถจัดส่งข้อมูลจากผู้ให้บริการด้วยความเร็วมากกว่า 6 Mbps ไปยังผู้รับบริการหมายความว่า 
    ผู้ใช้บริการสามารถ Download ข้อมูลด้วยความเร็วสูงกว่า 6 Mbps ขึ้นไปจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
    และด้วยความเร็วขนาดนี้มากเพียงพอสำหรับงานต่าง ๆ เช่น

    • งานเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
    • การให้บริการแพร่ภาพ Video On Demand
    • ระบบเครือข่าย LAN
    • การสื่อสารข้อมูลระหว่างสถานที่ทำงานกับบ้าน (Telecommuting)

    ADSL มีโครงสร้างของระบบสื่อสารข้อมูลเป็นแบบไม่สมมาตร (Asymmetric) 

    ซึ่งหมายความว่าข้อมูลที่ส่งมาจาก ISP ไปยังผู้ใช้บริการจะมีความเร็วที่มากกว่า 
    ข้อมูลที่ส่งขึ้นไปจากผู้ใช้บริการไปยัง ISP ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลว่า 
    การใช้งานอินเทอร์เน็ตแบบผู้ใช้งานตามบ้านส่วนใหญ่มักเป็นการ Download ข้อมูลเสียมากกว่าการ 
    Upload ข้อมูล






    18. ADSL MODEM/ROUTER

      การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเราจำเป็นต้องมีตัวกลางในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตอุปกรณ์ที่มีหน้าที่นี้คือ โมเด็ม
     (Modem) ซึ่งแน่นอนว่าโมเด็มมีหน้าที่ในการแปลงสัญญาณอนาล็อค (Analog)
     ให้กลายเป็นสัญญาณดิจิตอล (Digital) และแปลงจากสัญญาณดิจิตอลเป็นสัญญาณอนาล็อคซึ่ง
    หน้าที่การทำงานของโมเด็มจะทำงานซ้ำๆกันเช่นนี้ แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาโมเด็มให้มีความสามารถ
    มากยิ่งขึ้น ด้วยการผสม เราเตอร์ (Router) เข้าไว้ในโมเด็มด้วย
     ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ยินคำว่า Modem Router มากขึ้น



    ประโยชน์ของ Modem Router

    ประโยชน์ของ Modem Router นั้นเน้นเรื่องความสะดวกสบายในการใช้งาน 
    เนื่องจากเมื่อก่อนที่ยังไม่มีการพัฒนา Modem Router ขึ้นมา ถ้าจะต้องการกระจายสัญญาณอินเตอร์
     เราจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ทั้ง 2 ตัวคือ โมเด็มและเราเตอร์ แต่ถ้าต้องการให้กระจายสัญญาณไวไฟได้ด้วย
    ก็จะต้องซื้อ เราเตอร์ที่มีคุณสมบัติในการกระจายสัญญาณไวไฟเพิ่มเข้าไปอีก แต่เมื่อมี Modem Router
     เรื่องยุ่งยากเหล่านี้ก็หายไปเพราะคุณสมบัติของ Modem Router ในปัจจุบันนี้มีครบทุกอย่างตั้งแต่
     เป็นโมเด็ม เพื่อทำการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสายโทรศัพท์หรือสายใยแก้ว 
    และยังเป็น Router หรือ Wireless Router ซึ่งสามารถกระจายสัญญาณให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
    และอุปกรณ์ต่าง ๆที่รองรับการทำงานจากเราเตอร์ได้ 4 พอร์ท ส่วนมากแล้ว Modem Router 
    จะมี Lan port มาให้ 4 ช่องเป็นอย่างต่ำ และนอกจากนั้น Modem Router 
    ยังสามารถกระจายสัญญาณไวไฟไปยังอุปกรณ์ที่รองรับได้อีกด้วย แถมการติดตั้งก็ติดตั้งง่าย
    และไม่ต้องปรับค่าให้ยุ่งยาก


    Modem Router



    19. Splitter

    คืออุปกรณ์ตัวแยกสัญญาณทีวี  มีให้เลือกหลายขนาด  ตั้งแต่ 2 ทางจนถึง 16 ทาง
    แต่ที่นิยมใช้กันมากคือ  แบบแยก 2-8 ทาง  ให้สัญญาณที่ Output เท่ากันทุกจุด  ส่วนมาก Splitter 
    จะใช้กับระบบทีวีที่มีจำนวนจุดน้อยๆ ภายในบ้านไม่เกิน 10 จุด  หรือหากใช้กับระบบ MATV 
    ส่วนมากจะใช้ร่วมกับ TAP-OFF  




    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ Splitter ทำหน้าที่อะไร



    20. Wireless broadband Router

     อุปกรณ์ Wireless Broadband Router สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ ADSL Modemหรือทำเป็นอุปกรณ์
     Router เพื่อเชื่อมวง Network สามารถกระจายสัญญาณ Wireless เพื่อใช้งาน Internet ร่วมกัน
    อุปกรณ์บางตัวสามารถเปลี่ยนเสาอากาศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณได้ดีและไกลยิ่งขึ้น

    Broadband Router (Router มี Wireless)



    21. Fire wall


    Firewall คืออะไร

    Firewall คือ ระบบรักษาความปลอดภัยของเครื่องคอมพิวเตอร์ (อ่านว่า ไฟร์วอลล์) ไม่ให้ถูกโจมตีจาก
    ผู้ไม่หวังดีหรือ การสื่อสารที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต 
    รวมถึงเครือข่าย LAN ด้วย ซึ่งในปัจจุบัน Firewall มีทั้งอุปกรณ์ที่เป็น Hardware และ Software


    Firewall



    หน้าที่ของ Firewall มีอะไรบ้าง

    เมื่อเรามีระบบ Firewall ในเครื่องคอมพิวเตอร์ก็เหมือนกับการสร้างกำแพงให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
    ของเรา และเหลือประตูทางเข้าไว้เป็นทางผ่านของข้อมูลต่างๆจากเครือข่ายอื่น และตรงประตูนั้นจะมียาม
    คอยรักษาการณ์อยู่คอยทำหน้าที่ตรวจสอบการเชื่อมต่อต่างๆให้เป็นไปตามกฏ ซึ่ง Firewall
     จะเป็นตัวกรองข้อมูลว่า ข้อมูลชนิดนี้คือ ใคร (Source) ตัวข้อมูลต้องการจะไปที่ไหน (Destination) 
    และข้อมูลชิ้นนี้จะบริการอะไรหรือทำอะไร(Service/Port) ถ้ารู้สึกว่าข้อมูลไม่ปลอดภัยหรือมีความเสี่ยง
    ที่จะมาทำความเสียหาย Firewall ก็จะทำหน้าที่กันไม่ให้ข้อมูลเข้าไปได้



    ประโยชน์ของ Firewall

     หากไม่ผ่านกฎเพียงข้อเดียว Firewall ก็จะไม่ให้ผ่านเข้าไปเลย แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ
    ผู้ใช้งานเองด้วย ถ้าหากข้อมูลไม่ปลอดภัยแต่ผู้ใช้งานอนุญาตให้ผ่านเข้ามาได้ Firewall ก็จะปล่อยเข้ามา






    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น